ข่าวทั่วไปข่าวสารท่องเที่ยวความรู้ทั่วไปทริปท่องเที่ยว

น้ำมันหมดแต่ “ไม่มีปั๊ม” ทำยังไงดี? อย่าตระหนกไป! 7 วิธีง่ายๆที่จะช่วยให้คุณผ่านช่วงที่ยากลำบากไปได้

น้ำมันหมดแต่ไม่มีปั๊มทำยังไงดี? อย่าตระหนกไป! 7 วิธีง่ายๆที่จะช่วยให้คุณผ่านช่วงที่ยากลำบากไปได้

ถ้า น้ำมันใกล้จะหมดขณะขับรถอยู่ในเมือง เราสามารถหาปั๊มน้ำมันได้อย่างสะดวก แต่ถ้าขับอยู่บน Highway ทางด่วน หรือถิ่นทุรกันดาร แล้วเห็นไฟกระพริบบอกว่าน้ำมันในถังกำลังจะหมดแล้ว ใจของคุณคงจะเริ่มวิตกกังวล ถ้าไม่สามารถเติมน้ำมันได้ทันเวลา รถสุดที่รักจะขับไปได้อีกไกลสักแค่ไหน จะตายกลางทางมั้ย นี่คงเป็นปัญหาในจิตใจที่คนขับรถทุกคนต้องเคยเจอ แล้วค่ารถลากรถนี่มันสักเท่าไหร่ ต้องขับยังไงถึงจะประคองไปจนถึงปั๊มได้

 

 

 

จริงๆแล้วคู่มือรถยนต์ทุกคันจะเขียนบอกไว้ว่าเมื่อสเกลน้ำมันมีไฟกระพริบ แล้ว น้ำมันในถังยังเหลืออีกเท่าไหร่ แต่คนส่วนใหญ่คงไม่เคยอ่านคู่มือรถ แต่รถบางยี่ห้อก็ใจดีมีตัวเลขบอกว่าน้ำมันที่เหลืออยู่ในถังสามารถวิ่งไปได้ อีกกี่กิโลเมตร

 

เร็วๆนี้มีชาวเนตคนหนึ่งโพสว่า ไม่นานมานี้เขาขับรถไปต่างจังหวัด ตรงทางขึ้นทางด่วนระหว่างทางกลับบ้านไฟเตือนน้ำมันก็กระพริบ พนักงานเก็บเงินบอกว่าปั๊มน้ำมันอยู่ห่างจากตรงนี้ 20 กม. แต่พอไปถึงปั๊มกลับปรากฏว่ามันกำลังปิดซ่อม เมื่อถามคนแถวนั้นดูเขาก็บอกว่าต้องไปอีก 30 กม. จิตใจก็เริ่มกระวนกระวาย แต่ในที่สุดก็ถึงปั๊ม พบว่าเขาขับมาทั้งหมด 53 กม.

 

 

 

“จริงๆแล้วรถผมขับ ได้อีกกี่กิโลเมตรหลังจากไฟเริ่มกระพริบ?” หลังจากเกิดเรื่องวันนั้น เขาก็เลยคิดว่าต้องหาคำตอบให้ได้ เขาก็เลยทำการทดลอง หลังจากไฟน้ำมันกระพริบ เขาก็ปรับเข็มวัดระยะทางเป็นศูนย์ แล้วก็เอาน้ำมันถังหนึ่งใส่รถไปด้วย ขับรถไปเรื่อยๆจนกระทั่งขับต่อไปไม่ได้เพราะน้ำมันหมด แล้วเขาก็พบว่าเขาขับได้ 86 กม.

สำหรับรถทั่วไป เมื่อไฟน้ำมันเริ่มกระพริบ รถจะขับต่อไปได้อีกประมาณ 50-90 กม. แต่นิสัย ทักษะ ของที่บรรทุกในรถ สภาพถนน สภาพอากาศในการขับรถของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การเผาผลาญน้ำมันก็เลยแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเวลาขับรถก็ยังต้องสังเกตดีๆ เวลาไฟสว่างขึ้น ก็รีบๆไปเติมซะ อย่าใจเย็น ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องมาเข็นได้

 

เมื่อไฟน้ำมันกระพริบต้องทำอย่างไร?

1.    อย่าเหยียบเบรคอย่าลดความเร็ว

เมื่อไฟน้ำมันกระพริบอย่าตกใจ อย่ารีบเหยียบเบรคหรือลดความเร็ว เพราะว่าการกระทำทั้งสองแบบนี้จะยิ่งกินน้ำมัน

2.    ควบคุมความเร็วรถ ขับด้วยความเร็วสม่ำเสมอ

จาก การทดลอง สำหรับรถกินน้ำมัน 1.3-1.8 ลิตร ความเร็วที่กินน้ำมันน้อยที่สุดคือ 45-65 กม./ชั่วโมง สำหรับรถกินน้ำมัน 2.0-3.0 ลิตร ความเร็วที่กินน้ำมันน้อยที่สุดคือ 55-75 กม./ชั่วโมง และเวลาที่กำลังขับรถแบบประหยัดน้ำมัน ต้องจำไว้ว่ายิ่งเร็วยิ่งกินน้ำมัน แต่ถ้าอยู่บนทางด่วน ก็พยายามขับให้อยู่ที่ความเร็วต่ำสุดสำหรับบนนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย

3.    ปิดอุปกรณ์ใช้ไฟฟ้า

ปิด GPS แอร์ ให้หมด! เนื่องจากอุปกรณ์เหล่านี้จะเพิ่มภาระให้รถ ทำให้เผาผลาญน้ำมันเร็วขึ้นอีก ก่อนปิด GPS อย่าลืมตรวจสอบดูว่าปั๊มน้ำมันที่ใกล้ที่สุดอยู่ตรงไหน ถ้ามือถือใช้ได้ ก็สามารถใช้ google maps ได้

4.    ปิดหน้าต่างรถ

เวลาขับรถบน ทางด่วน ลมจะแรงมาก การปิดหน้าต่างจะช่วยลดการต้านลม และช่วยประหยัดน้ำมัน (แอร์ก็ปิด หน้าต่างก็ไม่ให้เปิด จะหายใจออกมั้ย…เอิ่ม งั้นเปิดช่องเล็กๆก็ได้ให้อากาศหมุนเวียน)

5.    ขับอย่างระมัดระวัง ดูสภาพถนนดีๆ

เลือกถนนที่เรียบ เพราะถนนขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อจะยิ่งทำให้รถคุณกินน้ำมันเยอะขึ้น

6.    หลีกเลี่ยงถนนที่รถติด

น้ำมันใกล้จะหมด ถ้าขับๆจอดๆจะยิ่งหมดเร็ว เช็คทางให้ดีแล้วอย่าหลงนะจ๊ะ

เติมน้ำมันเมื่อไหร่ดีที่สุด?

คน ใช้รถหลายๆคนมีนิสัยชอบเติมน้ำมันเวลาไฟกระพริบ แต่จริงๆแล้วการทำอย่างนี้ไม่ดีต่อสภาพรถ! ถ้าน้ำมันในถังน้อย อาจส่งทำให้ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง( fuel pump) หรือปั๊มติ๊กมีอายุการใช้งานสั้นลง เสื่อมสภาพเร็ว

ระบบการทำงานของ ปั๊มติ๊กจะใช้น้ำมันช่วยระบายความร้อน มันจะติดอยู่ในถังน้ำมัน และใช้น้ำมันช่วยในการลดอุณหภูมิ ถ้าไฟสเกลน้ำมันกระพริบ ระดับน้ำมันจะเริ่มคลุมปั๊มติ๊กไม่มิด เมื่อมันทำงานแล้วระบายความร้อนออกมา ก็จะไม่มีประสิทธิภาพ เป็นเหตุให้มันเกิดการเผาไหม้ตัวเอง รถไม่สามารถทำงานได้อย่างเป็นปกติ

เวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเติม น้ำมันก็คือเมื่อสเกลน้ำมันบอกว่ายังมีน้ำมันในระดับนึง อีกอย่างในฤดูร้อนอย่าเติมน้ำมันเต็มถัง เนื่องจากหน้าร้อนอุณหภูมิสูง  จะทำให้ความดันในถังน้ำมันสูงเกินไป

แม้ว่ามันจะมีกลยุทธ์ แต่ก็ยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะหน้า ดังนั้นขอแนะนำว่าถ้าต้องขับรถในระยะไกล เติมน้ำมันให้เต็มถังไว้ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์หาปั๊มน้ำมันไม่เจอ หรือเจอแล้วแต่มันปิดซ่อม ก็จะแย่เอานะจ๊ะ

ใส่ความเห็น